ข่าวสาร วิทยาศาสตร์ วิจัย นวัตกรรม

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คลอง


คลอง

วันอาทิตย์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2554 
  

คนส่วนใหญ่ไม่ชอบน้ำท่วม จึงพยายามปิดกั้น ป้องกันอย่างดี จนทำให้เราไม่รู้ระบบ คาดการณ์ไม่ถูก และหนีไม่ทัน เมื่อเกิดสถานการณ์ผิดพลาด คาดไม่ถึง 
   
ปกติ น้ำมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งใน คู คลอง และท่อระบาย ที่เชื่อมเป็นระบบ ไม่ให้เอ่อ เท้อ ขึ้นท่วม การทำความรู้จักไว้บ้าง ก็จะเห็นทางหนีทีไล่ หากเกิดภาวะไม่พึงประสงค์ นองล้น ไล่คนให้ขึ้นไปติดเกาะบนชั้นสองหรือหลังคาบ้าน
   
กรุงเทพฯ มีคลอง 1,161 คลอง ยาวรวมกัน 2,272 กม. มี คู ลำราง ลำกระโดง 521 แห่ง ถ้ามาต่อกัน ก็ยาวถึง 331 กม. มีท่อระบายน้ำใต้ถนน ซึ่งคนส่วนใหญ่มองไม่เห็นอีก 1,640 กม. เชื่อมโยงกัน วางระบบให้ไหลจากน้ำทิ้งตามบ้าน ลงท่อระบายน้ำ เคลื่อนตัวเป็นทอด ๆ ลงคู และคลองเล็ก ๆ ใกล้ชุมชน ที่เราอาจไม่เคยเหลียวแล สู่คลองหลัก อาทิ คลองแสนแสบ คลองประเวศน์บุรีรมย์ คลองลาดพร้าว คลองพระโขนง ออกแม่น้ำเจ้าพระยา ลงทะเลที่อ่าวไทย
   
ระบบที่ว่าอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก ไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำ และจะมีประสิทธิภาพหากลำน้ำต่าง ๆ มีที่ว่าง ตรงข้ามถ้าน้ำนองล้นตลิ่ง นอกจากไม่ไปอย่างที่ควร ยังย้อนศร จากแม่น้ำกลับเข้าคลอง แล้วดันโผล่พุ่งตามท่อ
    
ในกรุงเทพฯ มีระบบป้องกันตัวเอง ไม่รอธรรมชาติ โดยปิดล้อมด้วยประตูน้ำปากคลอง แล้วสูบลงแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าแล้ง คลองแห้ง มีน้ำเสีย ก็สูบน้ำดีจากปลายคลองด้านหนึ่ง ไปออกอีกด้าน ทั้งยังมีอุโมงค์สูบน้ำขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เมตร สูบจากถนนพระรามเก้าไปลงคลองพระโขนง
   
คลองทุกสายในกรุงเทพฯ มีบทบาทสำคัญต่อการระบายน้ำ ที่เราควรใส่ใจ ทำความรู้จัก และช่วยกันโวยวาย ถ้าเห็นว่าถูกละเลย ปล่อยให้ตื้นเขิน หรือโดนบุกรุก
   
วิธีจะรู้จักก็ต้องไปเที่ยวชม เพื่อให้สนุกก็ต้องศึกษาประวัติ เรียนรู้ความเป็นมา แสวงหาข้อมูลจากคนพื้นที่
   
ริมคลองทุกสายมีวิถีชีวิต มีอาชีพ และเรื่องราวน่าสนใจ มีมุมงาม ๆ ให้บันทึกภาพเป็นที่ระลึก
   
ถ้าไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ก็เลือกจากคลองที่คณะรัฐมนตรีมีมติตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2510 กำหนดคลองที่ต้องอนุรักษ์ ในฐานะที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ 1. คลองแสนแสบ 2. คลองเปรมประชากร 3. คลองผดุงกรุงเกษม 4. คลองพระโขนงและคลองประเวศบุรีรมย์ 5. คลองคูเมืองเดิม 6. คลองโอ่งอ่าง 7. คลองหลอด 8. คลองคูเมืองเดิมฝั่งตะวันตก 9. คลองนครบาลหรือคลองวัดแจ้ง 10. คลองแม่น้ำอ้อม 11. คลองบางกอกน้อย 12. คลองบางขุนศรี หรือคลองชักพระ 13. คลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง 14. คลองภาษีเจริญ 15. คลองมหาสวัสดิ์ 16. คลองมอญ 17. คลองบางระมาด 18. คลองบางยี่ขัน 19. คลองสาน 20. คลองบางไส้ไก่ 21. คลองบางสะแก 22. คลองบางลำภูล่าง 23. คลองต้นไทร 24. คลองด่าน
   
คลองทุกสาย มีประโยชน์นับแต่อดีต ทางราชการให้ความสำคัญ มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติรักษาคลอง รัตนโกสินทร์ศก 121” ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า “มีพระบรมราชโองการ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า การเพาะปลูกก็ดี การค้าขายไปมาก็ดี ในพระราชอาณาเขตนี้ ทางน้ำลำคลองเป็นสำคัญ และในเวลานี้ คลองก็มีอยู่แล้วเป็นอันมาก แต่ชำรุดตื้นเขินไปเสียโดยมาก เหตุเพราะยังมิได้จัดการรักษาให้พอเพียง ทรงพระราชดำริจะบำรุงและรักษาคลองเก่าที่มีอยู่แล้ว และที่จะขุดขึ้นใหม่ให้เรียบร้อยถาวร เพื่อใช้ประโยชน์และสะดวกแก่ธุระของราษฎรยิ่งขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติไว้”
   
กฎหมายในสมัยนั้น วางหลักที่สำคัญ ห้ามไม่ให้ทิ้งขยะมูลฝอย และสิ่งปฏิกูลลงในคูคลอง ผู้ทำผิดมาตรานี้ จะถูกปรับไม่เกิน 20 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ กับถ้าปล่อยให้สัตว์พาหนะ และสัตว์เลี้ยง เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ลงคลอง ซึ่งไม่ใช่ท่าข้ามทางการอนุญาต จะต้องถูกปรับเป็นรายตัว ตัวละไม่เกิน 10 บาทเป็นต้น
   
วันนี้ ถ้าเรารู้จัก รัก ช่วยกันดูแล และหาทางป้องกันมิให้คลองตื้นเขินเสียสภาพไป เรื่องร้าย ๆ คงไม่ท้นท่วมสูงจนอยู่ยากอย่างที่เป็น.
วีระพันธ์ โตมีบุญ
veeraphant@gmail.com
http://twitter.com/vp2650

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นักปฐพีเผย จุดเสี่ยงสูงตลิ่งเจ้าพระยาพัง

ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยวิศวกรรมปฐพีเเละฐานราก คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้วิเคราะห์ตําเเหน่งเเนวเขื่อนป้องกันตลิ่งริมเเม่นํ้าเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกที่มีความเสี่ยงภัยสูงเเละสูงมาก ที่อาจพิบัติเเละส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ การวิเคราะห์ได้อาศัยข้อมูลตําเเหน่งของเขื่อนป้องกันตลิ่งที่ไม่ได้ออกเเบบเเละก่อสร้างโดย กทม ซึ่งอาจมีการโอกาสพิบัติสูง โดยเฉพาะตลิ่งที่ไม่ได้ออกเเบบให้รับเเรงด้านข้างของนํ้า เช่นใช้รั้วบ้านเป็นกําเเพงกันนํ้า หรือบางพื้นที่ไม่มีเเนวเขื่อนป้องกันตลิ่ง หรือบางพื้นที่เป็นแนวกระสอบทราย นอกจากนั้นยังวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลความสูงต่ำของพื้นที่ จึงแนะนำประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบเเละเฝ้าระวังภัย โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำขึ้นสูง เพราะน้ำทะเลหนุนสูงเกินระดับคันกั้นน้ำที่มีอยู่ หากเกิดการพิบัติ ณ จุดใดจุดหนึ่ง อาจก่อให้เกิดความเสียหายเป็นพื้นที่กว้าง ข้อมูลทั้งหมด ทำเป็นแผนที่ไว้ห้าช่วงได้แก่
1.ช่วงคลองบางเขนถึงสถานีสูบน้ำเทเวศร์  1.จากสถานีสูบน้ำคลองบางเขนใหม่ถึงปากคลองบางซื่อ
2.บริเวณวัดแก้วฟ้าจุฬามณี เขตดุสิต  3.บริเวณ ขส.ทบ. 4.จากคลองบางซื่อถึง ศรีย่าน5.บริเวณสถานีสูบน้ำสามเสน
6.บริเวณโรงเรียนเขมะสิริอนุสรณ์เก่า7.บริเวณศาลเจ้า8.บริเวณวัดเทวราชกุญชร
2.ช่วงสถานีสูบน้ำเทเวศร์ถึงสะพานสาทร1.ท่าเรือเทเวศร์ 2.ธนาคารแห่งประเทศไทย 3.ชุมชนจากท่าพระจันทร์ถึงท่าช้าง4.ท่าเรือท่าเตียน 5.สถานฝึกและอบรมเยาวชนหญิงบ้านปราณี 6.บริเวณปากคลองตลาด ตลอดยอดพิมาน ผ่านใต้สะพานพุทธ ถึงปากคลองโอ่งอ่าง 7.ซอยโรงปลาทู 8.ตรอกสะพานยาว  9.ตรอกไกร 10. ท่าน้ำราชวงศ์ 11.บริเวณชุมชนทรงวาดถึงศาลเจ้าแม่กวนอิม 12.ศาลเจ้าโจซือก๋ง 13.ศาลเจ้าโรงเกือก 14.ตอนขนานถนนเจริญกรุง บริเวณแยกสี่พระยาต่อเนื่องถึงการสื่อสารแห่งประเทศไทย 15.บริเวณสถานีดับเพลิงบางรัก 16.จากสถานีตำรวจน้ำบางรักถึงสะพานตากสิน
3.ช่วงสะพานสาธรถึงสะพานกรุงเทพ 1.บริเวณอู่ต่อเรือ บริษัทอู่กรุงเทพ 2.จากองค์การสะพานปลาถึงโกดังสามัคคีการค้า  ระยะทาง 427 เมตร 3.แนวคลองแยก 4.จากคลองบางขวางถึงศาลแขวงพระนครใต้ ถึง ซอยข้างโรงแรมแม่น้ำ ยาว 658 เมตร 5.บริเวณใกล้วัดราชสิงขร ผ่านเอเชียะนวัฒน์คลังสินค้า ถึงคลองสวนหลวง ยาว 458 เมตร   6.บริเวณหลังวัดลาดบัวขาวถึงสะพานกรุงเทพ
4.จากสะพานกรุงเทพถึงสะพานพระราม 9 1.จากสะพานกรุงเทพถึง ประตูระบายน้ำ (ปตร.)ลำกระโดงสาธารณะ2 2.บริเวณ ปตร.ลำกระโดงสาธารณะ2  3.บริเวณการไฟฟ้านครหลวงยานนาวา  4.ชุมชนใกล้ ปตร.บางคอแหลม 5.ระหว่าง ปตร.คลองภาษีและถนนข้างวัดอินทร์บรรจง 6.บริเวณวัดจันทร์นอก 7.บริเวณลำกระโดงสาธารณะ ใกล้หมู่บ้านภักดี 8.บริเวณโรงแรมมณเฑียรริเวอร์ไซด์ 9.บริเวณใกล้ ปตร.วัดบางโคล่ 10.ตลิ่งใกล้สะพานพระราม 9 บริเวณปลายคลองบางมะนาว
5.จากสะพานพระรามเก้าถึงคลองพระโขนง 1.จาก ปตร.คลองเสาหินถึง ปตร.คลองโพงพางเหนือ  2.ปตร.คลองบางโพงพางใต้ ปตร.คลองปริวาศถึงคลองวัดด่าน 3.ปตร.คลองโบสถ์ถึง ปตร.คลองเคยนอก คลองบ้านเล่า 4.บริเวณข้างสถานีสูบน้ำพระโขนง 5.บริเวณสมาคมหิมะทองคำ 6.จากสถานีสูบน้ำคลองบางอ้อถึงสถานีสูบน้ำคลองบางนา
สำหรับจุดที่มีความเสี่ยงสูง หรือเสี่ยงสูงมากตามแนวสำรวจนี้ ในระยะฉุกเฉิน ควรเฝ้าระวังบริเวณที่ตั้งกระสอบทราย แต่ตั้งทิ้งไว้นาน หากมีน้ำซึมเข้าต้องตรวจสอบแก้ไข โดยแนวกระสอบทรายนั้น หากน้ำล้นฝั่งข้ามเข้าถึงด้านใน จะเกิดการรั่วซึมพังทลายได้ ส่วนกำแพงของเอกชน ซึ่งไม่ได้ออกแบบเป็นคันกั้นน้ำถาวร เช่นรั้วบ้าน ให้เอาดินอุดที่ตีนกำแพง เพื่อกัดน้ำซึมลอด แล้วใช้กระสอบทรายอุดอีกชั้นยันด้านหลังช่วยรับนำหนัก โดยกะให้มีระดับสูงใกล้เคียงกับระดับน้ำ เพราะหากสูงไม่พอ จะทำให้กำแพงนั้นหักได้เหมือนที่เกิดขึ้นย่านบางพลัด




ข้อมูลดังกล่าว เผยแพร่ไว้ที่ http://gerd.eng.ku.ac.th/News/2011_Oct/Flood_Chowpaya.html

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

สอนคนตาบอดถ่ายภาพ



วันอาทิตย์ ที่ 04 กันยายน 2554 เวลา 0:00 น
  
น่ายินดีที่สังคมไทยให้ความสนใจคนพิการมากขึ้น จึงเห็นนวัตกรรม สิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อกับคนที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ ได้มีคุณภาพชีวิตเฉกเช่นคนทั่วไป
   
ที่น่ายินดี และควรแก่การชื่นชมยิ่งไปอีก  ก็คือ กลุ่มนักถ่ายภาพที่รวมตัวกัน ทำประโยชน์เพื่อสังคมในนาม พิกฟอร์ออล (pict4all.com) พยายามเอาชนะอุปสรรคโลกมืด ดึงคนตาบอดให้ทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า คนปกติที่มีมุมมองศิลปะเมื่อแสงส่องต้องวัตถุเท่านั้นที่ทำได้
   
สอนคนตามองไม่เห็นทั้ง 2 ข้างให้ถ่ายภาพสวย ๆ ได้สำเร็จ
   
โครงการนี้ จัดต่อเนื่องมาแล้วสองปี วัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเตือนสังคมให้ตระหนักว่าคนพิการตาบอด ก็มีความสามารถเหมือนคนทั่วไป คนที่ไม่เคยชวนคนตาบอดท่องเที่ยว ถ่ายภาพจะได้เปลี่ยนความคิด เพราะขณะนี้มีผู้ผ่านการอบรมให้ถ่ายภาพเป็นถึง 9 รุ่น รุ่นละ 10 รวมเป็น 90 คน ในโรงเรียนสอนคนตาบอด ทั้งที่พัทยา เพชรบุรี เชียงใหม่ หนองคาย แพร่และลพบุรี โดยบริษัท แคนนอนมาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) ตัวแทนกล้องแคนนอนในประเทศไทยร่วมสนับสนุนกิจกรรม
   
คนเหล่านี้อาจไปสอนต่อกับเพื่อน ๆ และเป็นแรงบันดาลใจให้มีคนอาสาเข้ามาช่วยพัฒนาทักษะให้ดียิ่งขึ้น
   
เรามีโอกาสร่วมสังเกตการอบรม ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่ เมืองพัทยา วันเสาร์ก่อน พบว่าการเป็นอาสาสมัครสอนถ่ายภาพ ยากกว่าการหลับตาถ่ายเอง และมีรายละเอียดที่ซับซ้อนกว่าการสอนคนตาดีหลายเท่า แต่ นพดล ปัญญาวุฒิไกร ผู้ฝึกสอนและดูแลโครงการบอก อย่าคิดว่าผู้สอนคือผู้ให้ เพราะทำไปสักพักกลายเป็นผู้รับ อาทิ ปัญหาที่คนมองไม่เห็น จะสับสนว่าควรถือกล้องที่ตำแหน่งใด ปรากฏว่า “โอ๊ต” นักเรียนตาบอดคนหนึ่ง แนะให้เอาจอมองภาพด้านหลังแตะที่หว่างคิ้ว จะได้ภาพตำแหน่งเดียวกับคนทั่วไป คณะผู้สอนจึงตกลงเรียกวิธีนี้ว่า “โอ๊ตเทคนิค” แต่หลังจากใช้ได้สักระยะ มีปัญหาใหม่ สำหรับคนจมูกโด่ง ใช้วิธีนี้ภาพจะเป็นมุมเงย เลยตัวแบบ จึงประยุกต์ให้แตะกล้องที่ใต้คาง ซึ่งจะได้ภาพแนวระนาบพอดี
   
“เห็นเลยว่า ที่บอกบางสิ่งยิ่งให้ยิ่งงอก มีจริง คือความดีและความสุข ทุกครั้งที่เสร็จงาน จะได้ความยินดีมีพลังชีวิตกลับไป เห็นความเพียร ความตั้งใจจะถ่ายภาพให้ได้ดีของนักเรียนแล้ว ย้อนมาดูตัวเราซึ่งเป็นคนปกติ มีปัญหาเล็กน้อยกลับท้อเทียบกับคนพิการ ผมว่าปัญหาของเราเล็กน้อยอย่างยิ่ง” นพดล เล่าความในใจที่ได้ตอบแทนความเหนื่อยกลับมาว่ามากจนยากบรรยาย 
   
การจัดกิจกรรมอบรมหลายครั้ง ได้ข้อสรุปว่าอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนคนตาบอด เป็นกล้องคอมแพ็ก เลนส์มุมกว้าง 28 มม. เพื่อสะดวก ในการกะระยะ
   
รู้เทคนิคการจับกล้องแล้ว เมื่อจะถ่ายภาพบุคคล คนตาบอดจะสัมผัสตัวแบบที่จะถ่าย จากนั้นก็เดินถอยหลังตรงออกมาสัก 3 ก้าวแล้วกดชัตเตอร์ ตรวจความแม่นยำของระยะด้วยเสียง หากเป็นภาพหมู่ 3–5 คนขึ้นไป จะถอยให้ไกลกว่า อาจเป็น 5 ก้าว คนตาบอดทั่วไปมักประมาณการเดินไม่ให้เฉได้ แต่เพื่อความมั่นใจ ก็จะขอให้แบบที่ยืนตรงกลางส่งเสียงบอกหากเห็นว่า ผู้ถ่ายเริ่มเฉียง
   
ผู้ถูกถ่าย คนอยู่ในภาพ มีหน้าที่ช่วยบอกผลว่าภาพออกมาดีหรือไม่อย่างไร หากเห็นสวย ชอบใจก็พูดไปตรง ๆ ถ้ารู้สึกว่าควรปรับแก้ไขอย่างไรก็ให้กำลังใจกัน
   
นักถ่ายภาพที่ไม่เห็นแสงเหล่านี้ จะได้ฝึกการถ่ายมาโคร หรือภาพระยะใกล้ จากโหมดที่มีสัญลักษณ์รูปดอกไม้ในตัวกล้องเพื่อเก็บรายละเอียดของวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ด้วยวิธีที่ครูฝึกสร้างสรรค์ให้ โดยให้ใช้ฝ่ามือข้างซ้ายสัมผัสเป้าหมาย มือขวาจับกล้องให้ขอบด้านซ้ายแตะที่กลางฝ่ามือซ้าย จะได้ระยะห่างของเลนส์กับวัตถุพอดีกับการถ่ายมาโคร
   
ถ้าปลายปีนี้ มีนักเรียนตาบอดส่งบัตร ส.ค.ส.เป็นภาพดอกไม้สวยมาให้ ทราบไว้เถอะว่านั่นเป็นฝีมือที่เขาถ่ายและประกอบเป็นบัตรอวยพรด้วยฝีมือที่คณะครูอาสามาสอนไว้
   
ภาพวิวทิวทัศน์ ก็ถ่ายได้ โดยจะต้องมีคนบอกว่าข้างหน้าสภาพอย่างไร ภูเขา ทะเล แม่น้ำอยู่ตรงไหน และเพื่อให้ได้ภาพที่มีมิติลดหลั่นกัน เขาได้รับคำแนะนำให้เลือกฉากหน้า ที่มีหญ้า หรือต้นวัชพืชระดับพื้นดินติดไว้ จึงมั่นใจได้ว่า สภาพแวดล้อมที่เป็นขุนเขา ทะเล จะมีแต่มุมกว้าง เห็นอะไรอยู่ลิบ ๆ เท่านั้น แต่มีมุมที่ทอดตัวจากระดับสายตาออกไป
   
นพดลบอกว่าในจำนวนผู้เข้ารับการอบรม มีที่มองเห็นแววไปได้สวยอยู่หลายคน ส่วนที่ไม่ติดอันดับก็มีเยอะ อาจเป็นเพราะโรงเรียนมีกิจกรรมมากมายจนไม่มีเวลาใช้กล้องที่ให้ไว้ คนที่สนุกกับการถ่าย หมั่นฝึกฝีมือ ถึงกับต้องออกท้องทุ่งถ่ายภาพธรรมชาติอย่างจริงจัง ทางโครงการกำลังรวบรวมผลงาน เพื่อนำมาจัดแสดงให้ได้เห็นกันว่าฝีมือขนาดไหน
   
เสียดายที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครไม่มีวันว่างให้จึงต้องรอต่อไป
   
ถ้าศูนย์การค้าหรือแกลลอรีแห่งใดสนใจจะให้ไปโชว์ กลุ่มนักเรียนถ่ายภาพตาบอดเหล่านี้ก็มีผลงานอยู่แล้ว
   
ช่วยส่งเสริม เติมกำลังใจ ให้คนด้อยโอกาสได้มีโอกาสกันเถอะครับ
   
เป็นประโยชน์กับทุกคน

วีระพันธ์ โตมีบุญ

VeeraphanT@Gmail.com

http://twitter.com/vp2650

วันจันทร์ ที่ 05 กันยายน 2554 
  


สาขาวิชาการเป็นเจ้าของธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้จัดงานแสดงผลงานของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 เพื่อช่วยส่งเสริมการขาย เพราะเทอมนี้ นักศึกษาจะต้องมีกิจการเป็นของตัวเอง ที่ประกอบการค้าขายจริง ลงทุนจริง กู้เงินจริง ๆ ที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้กิจการละ 100,000 บาท มีเงื่อนไขให้ใช้คืนภายใน 6 เดือน
  
ไม่คิดดอกเบี้ย แต่ให้แบ่งกำไร 15 เปอร์เซ็นต์ ไปทำซีเอสอาร์ หรือกิจกรรมเพื่อสังคม
  
ในบรรดากิจการที่มาแสดงครั้งนี้ ธีระนันต์ สุขแก้ว นักศึกษาผู้รับหน้าที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือ ซีอีโอ พร้อมกับเพื่อนรวม 5 คน เปิดเว็บไซต์ นะโม-อะมูเลตดอตคอม ( http://namo-amulet.com) ทำธุรกิจให้เช่าพระเครื่อง ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีจุดเด่น แตกต่างจากเพื่อนร่วมรุ่นอื่น ๆ เพราะไม่ได้ผลิตสินค้า ไม่ต้องมีภาระค่าบรรจุหีบห่อ และไม่มีหน้าร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์พระเครื่องนะโม-อะมูเลต ออกแบบให้เข้าถึงโดยง่าย ด้านซ้ายเป็นรายชื่อพระ ช่วงนี้ยังเป็นพระใหม่ ในอนาคตอันใกล้จะเพิ่มพระเก่า เมื่อคลิกที่ชื่อพระก็จะมีข้อมูลวัตถุมงคลที่หลวงพ่อนั้น ๆ สร้างขึ้นอย่างย่อ พร้อมภาพขนาดเล็กถ้าต้องการรายละเอียดก็คลิกลงไปอ่านเพิ่มเติมได้
  
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการตัดสินใจ มีเบอร์โทรศัพท์ให้สอบถามได้ทันที
  
ธีระนันต์ สนใจพระเครื่องมาตั้งแต่เด็กเพราะเป็นบุตรชายของเซียนพระท่านหนึ่ง จึงอยู่ในสภาพแวดล้อมของธุรกิจเครื่องราง และเริ่มต้นให้เช่าพระใหม่เป็นงานเสริมตั้งแต่เรียนอยู่ ม.ปลาย โดยไม่มีหน้าร้าน ใช้วิธีโฆษณาบนกูเกิล แอดเวิร์ดส์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำ ผลตอบรับดี มีผู้สนใจจากประเทศสิงคโปร์ติดต่อเข้ามาเป็นลูกค้า เพื่อนำไปให้เช่าต่อในประเทศคราวละเป็นสิบองค์
  
เพื่อนร่วมรุ่นที่มารวมตัวกันก็สนใจพระ บางรายเริ่มทำเป็นธุรกิจบ้างแล้ว
  
การร่วมเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้จึงลงตัวอย่างมาก และแม้กิจการครั้งนี้จะเป็น “การบ้าน” ซึ่งต้องคืนเงินต้นภายในกำหนด 2 เทอม แต่ไม่ใช่บริษัทจำลอง ประกอบกับการทำธุรกิจบนเว็บไซต์ที่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ เขาจึงตั้งใจว่าจะดำเนินการต่อไป ดังนั้น ในช่วงต้น จึงไม่รอเงินกู้ของมหาวิทยาลัย แต่ลงขันเงินค่าขนมระหว่างเพื่อน 5 คน คนละ 300 บาท ต่อสัปดาห์ เป็น 1,500 บาท เดือนละ 6,000 บาท เก็บ 8 เดือนเป็นเงิน 48,000 บาท ขณะที่ค่าลงทุนในกิจการได้แก่ ค่าเช่าเว็บไซต์ ไม่นับรวมค่าเช่าพระมาให้เช่าต่อ จะต่ำกว่านี้
  
แผนธุรกิจของนโม-อะมูเลตดอตคอม  ของพวกเขามีภาระการลงทุนไม่สูงนัก แต่ให้บริการได้กว้างไกล โดยไม่ต้องเช่าพระมาเก็บไว้ อาศัยมีเครือข่ายในวงการพระเครื่อง ทำความตกลงกันจะยืมพระมา 5 องค์ เขียนเช็คค้ำประกันครึ่งหนึ่งของวงเงินค่าเช่า จากนั้นก็แบ่งให้เพื่อนร่วมหุ้นคนละองค์ เมื่อมีผู้สนใจติดต่อเข้ามา ก็จะให้เพื่อนที่อยู่ใกล้เคียงนำพระไปให้ดูได้ หากตกลงเช่ากัน ก็ค่อยชำระเงินเต็มตามจำนวน
  
ฟังดูเหมือนง่าย แต่สำหรับการเรียนสาขาวิชานี้ ผู้เรียนจะถูกเคี่ยวให้เขียนแผนอย่างรอบคอบ ส่วนใหญ่กว่าจะผ่านก็เขียนใหม่กันหลายหน สำหรับ ธีระนันต์ ต้องเขียนถึง 15 ครั้ง หรือ 15 เล่ม เพราะเล่มที่ไม่ผ่านจะถูกขีดฆ่า ให้ทำทั้งหมด การพิจารณาทำโดยอาจารย์ที่เป็นผู้สอบบัญชี และนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง เพื่อให้เป็นแผนที่สามารถขอกู้เงินจากธนาคารได้
  
การเปิดเว็บไซต์ ให้เช่าพระเครื่อง ไม่ใช่เปิดแล้วรอลูกค้าเข้ามาอย่างเดียว แต่ต้องใช้เทคนิคทางการตลาดหลายรูปแบบ ส่วนหนึ่งเอาประสบการณ์เดิมจากแอดเวิร์ดส์ส่วนเครื่องมือใหม่ในช่วงต่อจากนี้ ก็จะใช้ระบบโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก (www.facebook.com) และทวิตเตอร์ (www.twitter.com) สื่อสารข้อมูลดึงดูดผู้สนใจเข้ามาสู่เว็บ
  
“ผมเลือกออนไลน์ เพราะการลงทุนต่ำ ไม่ต้องผ่านมือสอง สาม จากเราก็ถึงผู้บริโภค ขยายตลาดไปได้ทั่วโลก การประกาศสินค้าทีเดียว ทั่ว 77 จังหวัดได้เห็นพร้อมกันหมด”
  
แม้เป็นงานของนักศึกษา แต่ทำตลาดได้จริงในโลกออนไลน์ ด้วยต้นทุนน้อยกว่าและผลตอบแทนสูง.

วีระพันธ์ โตมีบุญ

VeeraphanT@Gmail.com

http://twitter.com/vp2650

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แผ่นปิดแผลกาวไหม...คุณค่าจากของเหลือทิ้ง



แผ่นเนื้อเยื่อปิดแผล ผลงานของ รศ. เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นชิ้นงานที่แสดงถึงสามารถของนักวิจัยไทย ที่ยืนอยู่ระดับแถวหน้าในวงการวิจัยนานาชาติ เพราะเป็นรายแรกของโลกที่นำเซซิรีน หรือโปรตีนจากกาวไหมมากระตุ้นให้เนื้อเยื่อได้
   
กาวไหม คือ น้ำเหลือทิ้งจากการต้มรังไหม?
   
คำอธิบายสำหรับแผ่นเนื้อเยื่อปิดแผล ให้นึกถึงพลาสเตอร์ที่ใช้ปิดกั้นกันเชื้อโรคเข้าไปในแผล ระหว่างที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อทดแทน ซึ่งต้องใช้เวลานานพอควรแม้ในแผลเล็กๆ แต่แผ่นเนื้อเยื่อปิดแผลของ ดร.พรอนงค์ มีคุณสมบัติที่แตกต่าง ช่วยให้หายเร็ว เมื่อเทียบกับพลาสเตอร์ทั่วไปหรือแผ่นปิดแผลชั้นดีที่ขายในท้องตลาด ไม่ทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง สร้างหลอดเลือดเพิ่ม (neovascularization) และเพิ่มคอลลาเจนในบาดแผล ทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ แผลจึงหายเร็ว ทำให้เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบน้อยกว่าการใช้พลาสเตอร์ทั่วไป โอกาสเกิดแผลเป็นก็ต่ำกว่า
   
ในกรณีแผลขนาดใหญ่ไฟไหม้ เนื้อเยื่อ ผิวหนัง เสียหายเป็นบริเวณกว้าง ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อได้ยาก การรักษาต้องกรีดหรือตัดเนื้อเยื่อจากร่างกายส่วนอื่น เช่นที่แก้มก้นไปปลูกหรือสร้างทดแทน ทำให้ผู้ป่วยมีแผลเพิ่ม เพื่อรักษาแผลไฟไหม้ เสี่ยงต่อปัญหาอื่นเช่นการติดเชื้อและการบาดเจ็บ ลักษณะนี้ แผ่นเนื้อเยื่อปิดแผลจากกาวไหมของ ดร.พรอนงค์ ลดความยุ่งยากนั้น เพราะตัดการติดเชื้อได้เนื่องจากไม่ต้องเปิดแผลใหม่สร้างเนื้อเยื่อ แผ่นปิดแผลติดแล้วก็ไม่ต้องลอกออก ปิดครั้งเดียว จากนั้นกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อจะขึ้นมาทดแทนและโปรตีนกาวไหมจะละลายไปเองใน 21 วัน
   
ผู้ได้รับบาดเจ็บไฟลวกเป็นบริเวณกว้างถึง 60% จากเหตุเพลิงไหม้สถานบันเทิงชื่อดังแห่งหนึ่ง นำไปใช้ พบว่าได้ผลดี จากการทดลองกับหนู พบว่า แผลหายเร็วในเวลาเท่ากัน การทดลองโดยติดกับผิวหนังอาสาสมัคร ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปที่ไม่มีแผล 112 คน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ไม่พบการแพ้ และทดลองกับคนไข้ที่มีบาดแผลจริง 70 ราย ก็ได้ผลดีจริง ตามคุณสมบัติและตรงตามความคาดหมาย
   
แผ่นเนื้อเยื่อปิดแผลจากกาวไหม เป็นงานวิจัย ที่ ดร.พรอนงค์ นำเอาคุณสมบัติของโปรตีนกาวไหม ที่มีเซริซีน (sericin) ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นกดอะมิโนสำคัญต่อร่างกาย ที่มีปริมาณสูงถึง 30% ทำให้แข็งตัวเป็นเจล แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ตามอุณหภูมิการผลิตและสารประกอบร่วม มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ดูดซึมน้ำได้ดี จึงทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ใช้ปิดแผลก็เจ็บปวดน้อยลง ที่สำคัญเซริซีนยังกระตุ้นการสร้าง เซลล์ไปพร้อมกับเพิ่มการยึดเกาะตัวกัน อันเป็นตัวการช่วยสร้างเนื้อเยื่อของมนุษย์ได้ การทดลองในหนูยังพบว่า ช่วยเพิ่มคอลลาเจน ไปกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อให้แผลหายเร็วขึ้น
    
ถึงจะมีบทสรุปความสำเร็จด้วยดี ดร. พรอนงค์ยังคงต่อยอดงานวิจัยให้มีประสิทธิภาพขึ้นไปอีก ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ไหมไทยที่เหมาะสม และพบว่า สายพันธุ์จุล 1/1 มีคุณภาพที่สุด กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี แต่ลำพังโปรตีนกาวไหมอย่างเดียว เอามาใช้ทันทีไม่ได้ ต้องผสมกับโพลิเมอร์โพลีไวนีล แอลกอฮอล์ และผ่านกระบวนการฟรีซ-ดรายอิง หรือการทำให้เกิดการระเหิดด้วยความเย็น เพื่อรักษาคุณสมบัติสำคัญของโปรตีน  และแม้แผ่นเนื้อเยื่อที่ได้จะเป็นไปตามต้องการ มีความคงตัวดี แต่มีข้อด้อยตรงละลายน้ำได้ง่าย จึงต้องนำกระบวนการเชื่อมโยงข้าม โดยแช่แผ่นเนื้อเยื่อปิดแผลโปรตีนกาวไหมในแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นหลายระดับ และที่สุดพบว่าความเข้ม 70 – 80 เปอร์เซ็นต์เหมาะมากที่สุด ได้แผ่นเรียบเนียนสม่ำเสมอ ความคงตัวและยืดหยุ่นดี มีรูพรุนพอเหมาะ ปลดปล่อยโปรตีนในระดับที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้
    
สิ่งที่ ดร.พรอนงค์ต้องใส่ใจให้ความสำคัญลำดับถัดมา ก็คือ ต้องทำให้แผ่นเนื้อเยื่อปิดแผลต้องเปียกชื้นตลอดเวลา เพราะถ้าขาดคุณสมบัตินี้ จะทำให้แผ่นเนื้อเยื่อหดตัว ไม่เรียบเนียน ระคายเคืองกับแผลได้
    
นอกจากนี้ ยังได้ทดลองใช่สารสกัดจากดอกพุด ที่เรียกเจเนพิน (genepin) มาเป็นสารเชื่อมโยงข้ามทางเคมี ก็ได้ผลดีเช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ ทั้งๆที่เป็นของแห้ง ไม่จำเป็นต้องทำให้เปียกชื้นการคิดค้นวิจัยจนได้พบความวิเศษของโปรตีนจากกาวไหม เพื่อให้ได้แผ่นเนื้อเยื่อปิดแผลดังกล่าวนี้ นอกจากประโยชน์โดยตรงกับผู้ป่วยที่มีบาดแผล ใช้ได้ตั้งแต่แผลเล็กสุดขนาด 3x3 ซม.จนถึงขนาด 60 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อที่ร่างกาย ยังจะช่วยประหยัดงบประมาณและค่าใช้จ่ายในการนำเข้าพลาสเตอร์ปิดแผล โดยรายงานของบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์ตกแต่งและรักษาบาดแผลระบุว่าในปี 2550 ประเทศไทย นำเข้าอุปกรณ์ปิดแผลถึง 400 ล้านบาท ไม่นับการนำเข้าผิวหนังเทียมจากประเทศญี่ปุ่น แผ่นละ 7,000 บาท ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
    
ดร.พรอนงค์เปิดเผยว่า ต้นทุนการผลิตแผ่นเนื้อเยื่อปิดแผลกาวไหม แผ่นละ  250 บาท หรือคิดเป็น 3.6 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งถ้านำมาใช้อย่างจริงจังจะลดรายจ่ายโดยรวมของประเทศลงมิใช่น้อย
    
ผลพลอยได้อีกทางหนึ่งก็คือ จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กาวไหม ซึ่งเป็นของเหลือใช้ทางการเกษตร ให้กับแวดวงอุตสาหกรรมไหมไทยได้อีกด้วย
    
งานวิจัยชิ้นนี้ ได้จดสิทธิบัตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เผยแพร่ในวารสารทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ต่างประเทศ ทั้งยังมีบริษัทเอกชนจากต่างประเทศ เสนอขอซื้อสิทธิบัตรเพื่อนำผลิตจำหน่ายแล้ว ผลงานนี้ จะร่วมแสดงในการนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2554 ระหว่างวันที่ 26 -30 ส.ค.นี้ ที่ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ราชประสงค์ กรุงเทพฯ สำหรับประชาชนที่สนใจ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หาได้จากงานนี้ หรือปรึกษาแพทย์ที่ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ บอกว่า เมืองไทยมีทรัพยากรที่ทรงคุณค่า มีนักวิจัยที่สามารถ พร้อมจะสรรค์สร้างสิ่งใหม่ให้สังคมโลกยอมรับ
     
จึงต้องช่วยกันส่งเสริมให้มีแรงบันดาลใจต่อยอดไปโดยไม่หยุดนิ่ง
    
      
วีระพันธ์ โตมีบุญ   
VeeraphanT@Gmail.com      
http://twitter.com/vp2650

เป้งฮวดหลี : ขึ้นเว็บเมื่อวัยเกือบ50

ระบบการค้าทางอินเทอร์เน็ต ไม่ได้เหมาะกับหน้าใหม่ กิจการที่ไม่มีหน้าร้านเท่านั้น ร้านอะไหล่เก่าแก่ อายุเฉียด 50 ปี ยี่ห้อเป้งฮวดหลี ก็มีเวอร์ชั่นออนไลน์ขายผ่านเว็บ ให้ลูกค้าสั่งซื้อได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ทั้งได้ราคาพิเศษ
   
www.phlautoparts.com (พีเอชแอลออโตพาร์ตส์) คือเว็บไซต์เป็นทางการของเป้งฮวดหลีที่ตั้งขึ้นตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หารือกันถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้บริการอะไหล่ทันสมัย ทันใจมากขึ้น
   
นวพันธ์ สุภัจจาภิชัย บอกเปิดเว็บมาแล้ว 4 ปี ด้วยจิตมุ่งให้เป็นมากกว่าร้านอะไหล่รถยนต์ สะดวกกับลูกค้ายุคใหม่ ในราคาไม่แพง มีคุณภาพ ตั้งเป้าว่าเพียงคลิกหรือโทรศัพท์สั่ง ของที่ต้องการก็จะส่งถึงบ้าน จึงมีคำขวัญประจำเว็บว่าเรายกวรจักรไว้ที่บ้านคุณ
   
หน้าเว็บพีเอชแอลออโตพาร์ตส์ ออกแบบเรียบง่าย สะอาดตา เน้นภาพ และคำแนะนำสินค้า ด้วยข้อความสั้น ๆภาพขนาดเล็กๆ ส่วนรายละเอียดกว่านั้น คลิกลงไปดูได้  การโหลดจึงรวดเร็ว เข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้ง่าย แยกสินค้าตามยี่ห้อรถทั้งจากญี่ปุ่นและยุโรป โดยย้ำว่า ราคาที่ถูกกว่าศูนย์บริการ

ถ้าจะสั่งซื้อออนไลน์ มีปุ่มให้คลิกลิงก์ไปที่ www.autoparts-thailand.com ให้รายละเอียดพร้อมบอกราคาแบบพิเศษ ไม่ต้องกลัวสับสน เพราะมีคู่มือคำแนะนำกำกับ ถ้าไม่มั่นใจ ก็เจรจาจ๊ะจ๋ากับคอลเซนเตอร์ได้
   
นอกจากเปิดเว็บ ให้เลือกดูเลือกซื้อ เวลานี้ กำลังเริ่มนำโซเชียล เน็ตเวิร์ก ทั้งเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ที่http://twitter.com/phlmotorparts มาให้ผู้สนใจติดตาม
   
มีลิงก์สำหรับ ผู้คิดอยากเป็นตัวแทนจำหน่าย อู่ หรือศูนย์บริการทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมถึงบริษัทประกันภัย ที่ต้องการเนื้อหาที่มากกว่าหรือแตกต่างจากผู้ใช้ทั่วไป
   
ถือเป็นเว็บค้าขายทั้งบีทูบี คือค้าขายกับธุรกิจด้วยกัน และบีทูซี หรือบริการลูกค้าผู้ใช้
   
“การให้บริการผ่านเว็บ ช่วยให้มีลูกค้าเพิ่ม ลูกค้าเข้าถึงเราได้มากขึ้น ไม่ต้องผ่านคนกลาง เช่นอู่  บางท่านสั่งสินค้า ให้ส่งไปที่บ้าน หรืออู่ และที่ทำงาน เอาเวลาที่มีค่าไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ คนรุ่นใหม่จึงชอบ และถ้าเรามีของที่ลูกค้าต้องการอยู่ในสต๊อก ก็ส่งให้ได้ภายใน 3ชม. ซึ่งสะดวกมาก ในยุคที่การจราจรติดขัด ... ทุกวันนี้ เราพยายามพัฒนาให้เป็นเว็บไซต์อะไหล่ที่คนพูดถึง”นวพันธ์บอกถึงผลของการเปิดเว็บและเป้าหมายของกิจการออนไลน์
   
เราถามถึงการจัดการ หลังได้รับคำสั่งซื้อเพราะร้านอะไหล่ระดับนี้ การขายหน้าร้านก็วุ่นวายอยู่แล้ว หากมีคำสั่งซื้อเพิ่มจากช่องทางอื่นจะทำอย่างไร ผู้บริหารphlautoparts.com บอกจัดระบบการจัดส่งไว้หลายทาง เริ่มที่ ให้พนักงานขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ถ้าเป็นรายการที่มีของในสต๊อกจะส่งได้ภายใน3 ชม. ทางเลือกที่สอง ส่งทางไปรษณีย์ ทั้งกรุงเทพ และต่างจังหวัด ลูกค้าจะได้รับของภายใน 2-7วัน หรือทางเลือกที่สาม ส่งโดยกิจการขนส่งของเอกชนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ถ้าส่งในประเทศ ผู้ซื้อจะได้สินค้าวันถัดไป ถ้าเป็นคำสั่งจากต่างประเทศ จะถึงผู้รับกี่วัน ก็ขึ้นกับระยะทางและค่าใช้จ่าย
   
ในโลกออนไลน์ ถ้าคลิกคำว่าอะไหล่ จะมีรายชื่อผู้ค้าให้เลือกมากมาย มีสิ่งล่อใจแตกต่างกันไป ที่ไม่มีหน้าร้านก็เยอะ ผู้ซื้อจะตัดสินใจอย่างไร นวพันธ์ บอกว่า อย่าดูแค่มีเว็บ หรือมีชื่อบริษัท มีสถานที่ติดต่อเท่านั้น ควรตรวจสอบว่ามีหน้าร้านหรือตัวตนจริงหรือไม่ ถ้าไม่มีควรระวัง บางรายขายราคาถูก ยิ่งต้องรอบคอบพิจารณาให้มั่นใจว่าจะได้สินค้าตามต้องการ มีคุณภาพที่ดี
   
“บางรายโฆษณาว่าเป็นผู้นำเข้า แต่คนในวงการจะทราบว่าแท้จริงเป็นอย่างไร”
   
เขาย้ำว่า ทางร้านพยายามชี้แจงกับลูกค้าเสมอว่า ถ้าจะซื้อผ่านเว็บบางรายอาจมีปัญหาได้ แต่สำหรับ phlautoparts มีหน้าร้านจึงเชื่อถือได้ เพราะอยู่เป็นหลักแหล่งมาเกือบ 50 ปี ในทำเลค้าอะไหล่ใหญ่ มีของให้เลือกมากที่สุดทั้งของแท้ ของเทียบ  ที่เป็นของใหม่ทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น และจำหน่ายอะไหล่เกือบทุกชิ้น ส่วนอะไหล่รถเก่าหรือรีโทร ก็มีจำนวนมาก เพราะเปิดมานาน จึงชำนาญรถหลายรุ่น ออกใบกำกับภาษีให้ได้ มีบริการส่งทั้งในและนอกประเทศ หรือต้องการให้ติดตั้ง ก็มีอู่แนะนำ
   
บนเว็บมีสินค้าอัปเดตตลอดเวลา ลูกค้าไม่ตกเทรนด์
   
จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ได้  “เพย์พาล” หรือธนาคารบนโลกอินเทอร์เน็ต ก็รับชำระ
   
เจ้าเก่าปรับตัวเข้าตลาดใหม่ไซเบอร์ เป็นการเปิดโอกาสให้ได้เจอประสบการณ์ดีๆ พร้อมกับลูกค้า
   
ทั้งช่วยป้องกันมิให้ใครอื่นทำมิดีมิร้ายกับขาประจำของร้านได้ง่ายๆ.
   
วีระพันธ์ โตมีบุญ
VeeraphanT@Gmail.com
http://twitter.com/vp2650

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เสริมสวยด้วยเฟซบุ๊ก

วันจันทร์ ที่ 22 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น

มีเหตุผล(มากกว่า)ร้อยแปด ที่กิจการร้านค้า ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ควรมีเว็บไซต์ เป็นช่องทางให้ ผู้บริโภครู้จัก และเข้าถึงผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
   
ผู้บริหารของกูเกิล(www.google.co.th) บอกเมื่อตอนแนะนำเว็บโกออนไลน์ (www.goonline.in.th) ให้สมัครเปิดเว็บฟรี เพื่อค้าขายว่า ธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ การค้าขายเล็กๆน้อยๆ ที่เจ้าของนึกไม่ถึงว่าจะเข้าระบบตลาดออนไลน์ได้นั้น ควรจะเข้าร่วม เพราะผู้บริโภคปัจจุบันจะซื้อหาอะไรก็”ค้นในเน็ต”อีกทั้งเดี๋ยวนี้ มี”แอป”แผนที่บนโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพา ทั้งกูเกิลแมป และโฟร์สแควร์(https://foursquare.com) ให้ข้อมูลร้านค้าและบริการ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ที่อยู่รอบตัวของผู้ถือ ทำให้ทราบว่า ถ้าจะซื้อข้าวของแถวนั้น มีร้านอะไรบ้าง ความละเอียดของข้อมูล มากขนาดอยู่แถวนั้นเป็นสิบปีไม่เคยได้ยินมาก่อนก็มี
   
กิจการร้านเสริมสวยในชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยลูกค้าหน้าเดิมๆ เป็นอีกกิจการที่ควรเข้าสู่ระบบออนไลน์ มีช่างเสริมสวยอิสระหลายคนสมัครเป็นสมาชิกของเฟซบุ๊ก(www.facebook.com) แนะนำตัว เปิดรับหรือขอเป็นเพื่อนใครต่อใคร ทำให้ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น
   
เทคนิคการตลาดที่เห็นก็คือเอาภาพลูกค้าก่อนแต่งและหลังแต่งหน้ามาอวดให้เห็นบางคนรายรับงานแต่งหน้าวันรับปริญญา ก็ถ่ายภาพให้เห็นว่า ไปเช่าห้องพักใกล้มหาวิทยาลัย แล้วตื่นมาให้บริการความงามกันแต่เช้ามืดที่ห้องนั้นที่ขายเครื่องสำอาง บางราย ก็ใช้วิธีการก็แต่งหน้าตนเอง แล้วถ่ายภาพให้ดูว่า ทาแล้วสวยขนาดไหน ใครเห็นแล้วชอบใจ ก็ตามถามซื้อกัน
   
การใช้สื่อออนไลน์มีจุดที่แตกต่างจากร้านค้า ตรงที่ เจ้าของกิจการเอาผลงานมาอวดให้เห็นได้ มีผู้แสดงความเห็นให้ผู้อื่นติดตามผลงานได้ว่าน่าสนใจหรือไม่เพียงใด การจะตัดสินใจลองใช้บริการจึงมีข้อมูลอยู่บ้าง ขณะที่ร้านทั่วไป หากแต่งร้านไม่สวยดึงดูดใจ หรือไม่มีคนแนะนำ โอกาสได้ลูกค้าขาจร หรือจากถิ่นอื่นก็มีน้อย
   
ใครสนใจจะเปิดหน้าเฟซบุ๊กกิจการเสริมสวย หรือคนที่กำลังหาช่างให้ถูกใจ ลองคลิกสืบค้นคำ ประเภท แต่งหน้า เสริมสวย หรือที่มีความหมายทำนองนี้ จะเห็นวิถีความงามที่น่าสนใจที่สำคัญเป็นการเปิดช่องทางสื่อสารการตลาดที่มีต้นทุนต่ำที่สุด คือฟรีแต่จะให้ดี ก็น่าจะมีเว็บไซต์ของตนเอง จะเข้าร่วมโครงการกับโกออนไลน์ ซึ่งไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ก็ยังมีโอกาสเหตุผลดีๆที่ควรนำกิจการร้านค้าเปิดตัวในโลกไซเบอร์มีเยอะครับอย่าลังเลเลย

วีระพันธ์ โตมีบุญ
VeeraphanT@Gmail.com
http://twitter.com/vp2650
เข่
 

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ฟ้ากว้่าง วันอาทิตย์ ที่ 24 กรกฎาคม 2554

ที่สุด....


เดี๋ยวนี้มีนักถ่ายภาพเยอะ จึงมีภาพ สวย ๆ ให้เห็นทางโซเชียลมีเดียแยะ บางรายเป็นมือใหม่ แต่ก็ขยันหาประสบการณ์ มีผลงานออกมาน่าชื่นใจ จนอยากขอมาทำวอลเปเปอร์อยู่หลายชิ้น
   
เลยอยากเสนอแนะว่า นอกจากอวดบนเว็บไซต์ ควรจะส่งประกวดตามเวทีต่าง ๆ สั่งสมประสบการณ์เพื่อพัฒนาฝีมือให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น
   
อย่างงานประกวด ล่าสุด ที่บริษัทออสก้าโฮลดิ้งจำกัด ผู้ผลิตแบตเตอรี่ จัด หัวข้อ “ที่สุด” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสุดท้าย เพราะที่สุดของแต่ละคน แต่ละมุมมองมีความแตกต่าง จึงควรให้เห็นว่า ที่สุดของเราจะเข้าตา ตรงใจกับกรรมการหรือไม่ ที่สำคัญ โครงการนี้สนับสนุนและส่งเสริมผู้ที่เริ่มต้นหรือมือใหม่ ได้นำเสนอผลงาน แนวคิด และจินตนาการของตนเอง ผ่านการประกวดนี่แหละ
   
ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่ www.oskacsr.com/component/user/registe
   
ที่ผมชักชวนส่งภาพประกวด โดยเฉพาะคนที่กำลังพัฒนาฝีมือ ส่วนหนึ่งเพราะได้ลองแคนนอน 1100 ดี ที่บริษัทส่งมาทดสอบ แล้วพบว่าเป็นกล้อง DSLR ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ ที่เหมาะมือ ใช้ง่าย ให้ผลงานที่น่าประทับใจ ไม่แพ้รุ่นที่แพงเหนือกว่า ความละเอียด 12.2 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพแบบซีมอส ขนาด 22.2x14.8 มม. ตัวกล้องพร้อมชุดเลนส์ อีเอฟเอส 18–55 มม.ไอเอสทู (EFS 18-55 IS II) ตั้งราคาไว้ 19,900 บาท
      
คนเริ่มต้นที่เปลี่ยนจากคอมแพ็กมาเป็นกล้องที่เล็งภาพผ่านเลนส์ ซึ่งขีดความสามารถเหนือกว่า ที่ยังไม่คุ้นกับการปรับตั้ง แบบแมนน่วล ก็ไม่มีปัญหา คว้ามาเปิดสวิตช์ก็กดชัตเตอร์เก็บภาพได้ภายใน 0.1 วินาที ถ้าเลือกโปรแกรม P และอัตโนมัติ ก็กดชัตเตอร์อย่างเดียว กล้องจะทำให้ทุกอย่าง หากจะหัดเล่นกับแสงกับความไวชัตเตอร์ ก็เลือกทีละอย่าง ที่เหลือปล่อยกล้องคำนวณให้ก็สะดวก หรือถนัดกับการเล็งภาพจากจอด้านหลังขนาด 2.7 นิ้ว ก็มีระบบไลฟ์วิวให้เลือก
   
กล้องออกแบบสวยงาม บอดี้และสายคล้องมีสี่สีให้เลือก ได้แก่แดง น้ำตาล เทา และ ดำ
   
คุณสุภาพสตรีที่อยากใช้กล้องประเภทนี้น่าจะชอบ เพราะน้ำหนักแค่ 495 กรัม รูปร่างก็ไม่เทอะทะ มือเล็ก ๆ ข้างเดียวก็ฉวยจับ บังคับได้ ปุ่มควบคุมทั้งปวง แป้นหมุนเลือกโหมดก็รวมอยู่ซีกขวา ขยับนิ้วไปปรับได้ทันใจ อยากใช้โหมดอัตโนมัติสำหรับถ่ายภาพแต่ละชนิด เช่น ภาพบุคคล ภาพวิว ภาพดอกไม้ ก็เลื่อนได้ทันที สำหรับมือโปรที่ต้องการกล้องสำรอง น้ำหนักเบา แต่ไว้ใจได้ว่ากดชัตเตอร์แล้วไม่เสียเปล่าก็ควรเลือก
   
ค่าความไวแสงหรือไอเอสโอ ถึง 6400 เหมาะกับการถ่ายภาพกลางคืนที่แสงน้อย ความเร็วชัตเตอร์สูงสุด 1/4000 ระบบวัดแสง 63 จุด ถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็ว 3 เฟรมต่อวินาทีได้ กดค้างให้บันทึกภาพได้นานอย่างที่ต้องการ
   
นักถ่ายภาพที่ชอบความง่าย ถามหาแต่กล้องที่ยกขึ้นมากดชัตเตอร์ก็ได้ภาพ ไม่อยากปรับตั้งสักอย่าง แคนนอน1100ดี ตอบโจทย์นี้ได้ แต่ไม่ควรยึดเป็นสรณะ เพราะบางสถานการณ์ เช่น การถ่ายภาพกีฬาตอนกลางคืนที่แสงน้อย จะจับภาพความเคลื่อนไหวที่ฉับไวได้ยาก ทางที่ดีจึงหาโอกาสฝึกพัฒนาความสามารถกับระบบปรับตั้งบ่อย ๆ
   
ก็จะถ่ายภาพส่งประกวด ขืนมัวพึ่งแต่ระบบอัตโนมัติ จะหวังรางวัลอย่างไร ก็ถ้ากล้องทำได้ดีเองไม่ต้องรอคนถ่าย คณะกรรมการจัดงานคงให้คะแนนกับผู้ผลิต ไม่ต้องมาเสียเวลาตัดสินภาพของใคร
   
ในการทดสอบกับการแข่งกีฬาตะกร้อในสนามระดับชุมชนที่แสงสว่างไม่เท่าสนามมาตรฐาน ก็เป็นดังคาดหมาย โหมดอัตโนมัติภาพออกมาสั่นไหว แต่เมื่อปรับตั้งใช้ไอเอสโอสูงสุด 6400 ความเร็วชัตเตอร์ 200 ไม่ใช้ขาตั้ง ภาพออกมาได้ความชัดเจน ไม่สั่น ระบบป้องกันภาพไหวทำงานได้มีประสิทธิภาพ
   
กล้องสำหรับผู้เริ่มต้น ราคาไล่เลี่ยกับกล้องคอมแพ็ก ให้ผลลัพธ์ขนาดนี้ ถือว่ารับได้
   
เอาภาพไปอวดใคร ส่งประกวดที่ไหนก็มีคำชม

ที่สุดจริง ๆ.

วีระพันธ์ โตมีบุญ

VeeraphanT@Gmail.com

http://teitter.com/vp2605

ฟ้ากว้าง วันอาทิตย์ ที่ 07 สิงหาคม 2554


นักเลงบิ๊กไบค์

วันอาทิตย์ ที่ 07 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
  
ความเท่ของบิ๊กไบค์ หรือมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ ด้วยรูปทรงน่าเกรงขาม เสียงเครื่องคำรามอวดพลังเครื่องยนต์ที่แรงกว่ารถทั่วไป เดินทางสู่จุดหมายห่างไกลได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เป็นเสน่ห์ที่เร้าคนกลุ่มใหญ่ให้อยากขึ้นควบบังคับมัน
   
ตลาดที่เริ่มต้นด้วยรถมือสอง กำลังพัฒนาอีกระดับกับบิ๊กไบค์ยี่ห้อดังจากต่างประเทศ ชักแถวมาเปิดตัวเพิ่มขึ้น มีทั้งเปิดตัวแทนจำหน่ายและตั้งโรงงานเป็นฐานผลิต แต่ยังขาดช่างซ่อมบำรุง ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็มีพื้นฐานความเข้าใจการดูแลรักษาไม่มาก หรือบางทีก็ใช้กันผิด ๆ
   
พนม อินทร์ภู่มะดัน ครูฝึกฝีมือแรงงานของศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเพชรบุรี เป็นคนที่รัก สนใจ ฝึกฝีมือหาความรู้จนซ่อมได้และพยายามถ่ายทอดความรู้กับช่างมอเตอร์ไซค์ตามชุมชน ให้ซ่อมและบำรุงรักษาบิ๊กไบค์ได้ แต่ก็มีข้อจำกัดว่า ผู้สนใจต้องสมัครไปอบรมถึง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ทางราชการก็มีงบประมาณการฝึกที่จำกัด
   
ครูพนมบอกถ้ามีคนปรึกษาหารือหรือรวมตัวกันและชักชวนให้ไปสอน ที่ไหนก็ยินดี
   
อย่างเช่นวันเสาร์อาทิตย์ที่แล้วและวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ก็ไปถ่ายทอดความรู้ทั้งผู้ใช้และช่างจากร้านซ่อมภาคเหนือ ที่จังหวัดแพร่
   
มีเอกชนซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำมันเครื่องสนับสนุนบางส่วน
   
ผู้เข้าอบรมที่มีทั้งผู้ใช้และช่างซ่อม แม้จะมีพื้นฐานเครื่องยนต์กลไกต่างกัน แต่สำหรับบิ๊กไบค์ ส่วนใหญ่ก็เข้าใจไปคนละทาง ผิดบ้างถูกบ้าง จึงขอปรับให้ทุกคนเท่ากัน เรียนใหม่เหมือนกัน
   
ความจริงที่ผู้ใช้รถ ซึ่งเป็นคนแรกที่รับรู้ปัญหาดีกว่าใคร ควรเป็นคนดูแลรถเพื่อยืดอายุการใช้ และให้ช่างแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดมากที่สุด โดยหลักสูตรขั้นพื้นฐาน 18 ชั่วโมงที่สอน ได้แก่ การถ่ายน้ำมันเครื่องด้วยตนเอง เปลี่ยนหัวเทียน และปรับตั้งคาร์บูเรเตอร์เอง
    
“การถ่ายน้ำมันเครื่องของบิ๊กไบค์ เป็นเรื่องใหญ่ครับ ถ้าไม่รู้เทคนิคหรือไม่รู้ข้อมูลเครื่องยนต์ เลือกชนิดของน้ำมันไม่ตรง จะมีปัญหา ความร้อนขึ้น เครื่องยนต์สึกหรอเร็ว เช่น บางรายเข้าใจผิด คิดว่าน้ำมันสังเคราะห์ที่ใช้กับรถยนต์ อย่างดีราคาแพง โดยไม่ทราบว่า เอามาใช้กับจักรยานยนต์ชนิดนี้ จะมีปัญหา เพราะมีคลัตช์อยู่ในเครื่อง การใช้น้ำมันชนิดนี้ จะทำให้คลัตช์ลื่น น้ำมันเครื่องของสกูตเตอร์ ก็ไม่ได้ การสอนก็จะแนะให้ใช้น้ำมันเครื่องบิ๊กไบค์โดยเฉพาะ ซึ่งจะมีตัวแทนบริษัทน้ำมันเครื่องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง  หรือการเปลี่ยนหัวเทียน ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ใส่ผิดเบอร์ เครื่องจะทำงานไม่ได้ ถ้าซื้อของเทียมหรือของเลียนแบบจากบางประเทศ จะส่งผลให้เครื่องรวนเมื่อใช้ในรอบสูง การสอนก็จะแนะนำวิธีซื้อ ซึ่งไม่แพงแต่มีคุณภาพ”
   
ก็เพิ่งทราบว่า พื้นฐานการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง กับหัวเทียนรถยนต์ จะเอามาใช้กับรถบิ๊กไบค์ ไม่ได้ ที่เข้าใจว่า ใช้กับรถยนต์ยังได้ มอเตอร์ไซค์ก็คงได้เหมือนกัน เป็นความเข้าใจที่ผิด
   
ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็ตรงที่ครูพนมจะสอนปรับตั้งคาร์บูเรเตอร์ และตื่นเต้นหนักเข้าไปใหญ่ เพราะท่านบอกว่า จะสอนโดยใช้ผ้าผืนเดียว ซึ่งแม้จะบอกคร่าว ๆ แต่ความที่พื้นฐานไม่มีเลยบอกต่อไม่ได้
   
สนใจต้องไปอบรม
   
ข้อเท็จจริงอย่างว่า ผู้ใช้บิ๊กไบค์ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ มีเสียงเรียกร้องขอให้สอน จึงมีการประสานงานกัน โดยบริษัท ดร.ไบค์ ตัวแทนจำหน่ายอะไหล่และซ่อมบิ๊กไบค์ ย่านลาดพร้าว ได้ตกลงให้การสนับสนุน ทั้งสถานที่และเครื่องมือ โดยโยธิน ลีลาวนาชัย ผู้บริหาร กำหนดวันอบรม 3-4 กันยายน
   
สนใจให้โทรฯจองที่นั่งอบรมกับโยธินที่เบอร์ 08-1939-0404 หรือ 08-2054-3113
   
งานนี้ได้ทั้งช่างมอ’ไซค์ทั่วไปและผู้ใช้ที่รักและสนบำรุงรักษารถให้คงสภาพดี
   
ผ่านหลักสูตรแล้ว จะทำให้รถคันเท่ที่ควบขี่ไม่กล้าเกเรให้เสียหน้าอยู่ข้างทางอีกต่อไป.

วีระพันธ์ โตมีบุญ

VeeraphanT@Gmail.com

http://teitter.com/vp2605

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดวงตาจราจร งานวิจัยแก้รถติด

ดวงตาจราจร งานวิจัยแก้รถติด
นักวิจัย ม.บูรพา เผยนวัตกรรม”ดวงตาจราจร” รายงานข้อมูลสภาพรถติด คำนวณเวลาการเดินทางในกรุงเทพฯบนมือถือได้เป็นครั้งแรก
            รศ.ดร.ณกร อินทร์พยุง อาจารย์ประจำคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดเผยว่าได้ทำโครงการวิจัยดวงตาจราจรหรือทราฟฟิก อายส์ดอตเน็ต(Traffic Eyes.Net) ซึ่งเป็นนวัตกรรมบริการข้อมูลสภาพการจราจรและข้อมูลการเดินทางในกรุงเทพฯผ่านอินเทอร์เน็ต แสดงผลทั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้งานได้แล้ว ที่ www. trafficeyes.netหรือร่วมเป็นเครือข่ายที่เว็บไซต์เฟซบุ๊ก www.facebook.com/trafficeyes สามารถดาวน์โหลดแอปป์ใช้บนโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ตโฟน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นค่าเชื่อมต่อ จีพีอาร์เอส ซึ่งจะใช้ได้ดีกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
            ข้อมูลสภาพการจราจรและการเดินทาง ได้จากการติดตั้งเซ็นเซอร์อาร์เอฟไอดี 300 จุด และติดตั้งแท็กอาร์เอฟไอดี กับรถแท็กซี่อีก 20,000 คันที่วิ่งบนถนน ประกอบกับข้อมูลการเดินทางบนลิงก์ หรือช่วงการเดินทาง 3,000 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของการเดินทางในกรุงเทพฯ โดยข้อมูลสภาพการเดินทางในเวลานั้น (เรียลไทม์) จะประมวลผลแสดงไว้ในระบบให้ดูได้ทันที นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการใช้ทางที่เก็บไว้ในฐานข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และคาดการณ์สภาพการจราจรอยู่อีก 300 ล้านข้อมูล โดย รศ.ดร.ณกรกล่าวว่า การรายงานผลมีความแม่นยำราว 85เปอร์เซ็นต์และอีก เดือนข้างหน้า จะนำข้อมูลจากการรายงานสภาพการจราจรของผู้ใช้ทวิตเตอร์ (www.twitter.com)มาประมวลร่วมด้วย
            ในการใช้งาน หากเป็นการเข้าดูเว็บ จะทราบข้อมูลว่า ถนนแต่ละสาย แต่ละช่วงทั้งขาเข้าเมืองและออกนอกเมือง มีสภาพการเดินทางอย่างไร เช่น ถ้าเลือกถนนพระราม 9  ขาเข้าเมือง เวลา 17.45 น. วันที่ สค.54 ช่วงแยกรามคำแหงถึงพระรามติดขัด ความเร็ว กม./ชม. ช่วงจากพระราม 9 (ประดิษฐ์ฯ) - ว่องวานิช  สภาพติดขัด ความเร็ว13 กม./ชม.และสามารถดูรายละเอียดเพิ่มได้ว่า ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น มีสภาพอย่างไร และผู้ใช้สามารถกำหนดเส้นทางการเดินทาง เช่นจากบ้านถึงที่ทำงาน จะเลือกถนนสายใด เมื่อคลิกให้ระบบคำนวณ จะแจ้งให้ทราบว่า ในเวลานั้น ถนนแต่ละสายที่จะผ่านมีสภาพการจราจรเป็นอย่างไร และจะถึงจุดหมายภายในเวลากี่นาที  โดยผู้ที่ดาวน์โหลดแอปป์ของโปรแกรมไว้ในโทรศัพท์มือถือ เพียงแต่คลิกเลือกปุ่ม”แจ้งเตือน”ก็จะเห็นข้อมูลสภาพการจราจรในรัศมี กม.ขณะกำลังเดินทาง
            รศ.ดร.ณกร กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ที่กำหนดเส้นทางไว้ หากเปลี่ยนเส้นทางระบบจะไม่คำนวณให้ แต่อีกราว เดือนต่อจากนี้จะสามารถประมวลผลข้อมูลเส้นทางที่เปลี่ยนใหม่ในระหว่างเดินทางได้ หรือจะคำนวณล่วงหน้าได้ เช่น จะเดินทางวันพุธ ระบบจะดึงข้อมูลย้อนหลังของวันพุธที่ผ่านมา 30 สัปดาห์เพือวิเคราะห์และคาดการณ์การเดินทางให้
            ข้อมูลดังกล่าวนี้ นอกจาดาวน์โหลดได้บนเว็บแล้ว จะนำไปแสดงในการนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2554 ระหว่างวันที่ 26-30 สค.54 ที่ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์  ราชประสงค์  กรุงเทพฯ

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วม_พายุนกเตน

สถานการณ์น้ำ
ตรวจสอบข้อมูลน้ำจากศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณน้ำ กรมชลประทาน พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ซึ่งฝนตกหนักเพราะอิทธิพลของพายุนกเตน ทำให้เกิดน้ำท่วมวันที่ 31 กค.54 ขณะนี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เช่นที่ จ.หนองคาย ซึ่งมีฝนตกหนักปริมาณกว่า 300 ม.ม. สูงกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณฝนในรอบ 30 ปี ที่ทั้งเดือนจะตก 20 วัน ปริมาณ 249.3 ม.ม. โดยน้ำที่เอ่อท่วมส่วนใหญ่จะระบายลงแม่น้ำโขงได้เกือบทั้งหมด ไม่ส่งผลกระทบต่อจังหวัดทางตอนล่าง เช่นเดียวกับจังหวัดนครพนมและบึงกาฬ
ส่วนฝนที่ตกหนักในเขตจังหวัดแพร่และมีน้ำท่วมขังบางจุดนั้น ปริมาณโดยรวมน้อยกว่าที่เคยเกิดเมื่อปลายเดือนมิถุนายน เป็นที่คาดหมายว่าปริมาณน้ำจะหลากลงพื้นที่ทางตอนล่าง ได้แก่จังหวัดสุโขทัยเป็นลำดับถัดไป จากนั้นจะเข้าสู่เขตอำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่กรมชลประทานได้ประกาศเตือนให้เก็บเกี่ยวผลผลิตไปก่อนแล้ว
สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่กรมชลประทานเร่งระบายน้ำเพื่อรองรับพายุฝนนกเตนที่จะไหลเข้าเขื่อนหลักทางภาคเหนือนั้น น้ำที่ไหลผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีปริมาณ 1,050 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งเป็นระดับที่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนไหลผ่านกรุงเทพมหานคร ยังรองรับได้ แต่ผู้อยู่อาศัยนอกแนวคันกั้นน้ำอาจได้รับผลกระทบ

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ราชบัณฑิตกับศัพท์ใหม่ไอที

ราชบัณฑิตทันสมัยติวศัพท์ใหม่ไอที
ออกวิทยุ-ดูความหมายบนเว็บ

ราชบัณฑิตยุคโซเชียลมีเดีย เปิดเว็บ ออกวิทยุ อธิบายศัพท์สมัยใหม่ก่อนพิมพ์ลงพจนานุกรมให้เข้าใจ

            ราชบัณฑิตยสถาน สถาบันหลักของเครือข่ายทางปัญญาแห่งชาติ และเป็นองค์การพัฒนาความรู้ที่สามารถเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการ มีบทบาทในการค้นคว้า วิจัย และนำผลงานที่ได้สร้างสรรค์ออกเผยแพร่ให้เป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ได้ผลิตรายการวิทยุ"รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ช่วงรายการข่าวเวลา 7.00-7.30 น. และเผยแพร่บททางเว็บไซต์ของหน่วยงาน ที่ < www.royin.go.th/th/knowledge/content-list.php?PageNo=1&SystemModuleKey=knowledge&SystemLanguage=&ID=43&Chr= >  (หรือที่อยู่เว็บโดยย่อ http://tinyurl.com/3fywo2o   ) ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. มาจนถึงขณะนี้ ได้นำเสนอเนื้อหาอธิบายคำศัพท์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ใช้กันแพร่หลายและบางคำยังไม่ได้บรรจุลงในหนังสือพจนานุกรมศัพท์คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ  อาทิ คำ  อีบุ๊ก (วันที่ 27 กรกฎาคม)  กูเกิล (26 กรกฎาคม ) วิกิพีเดีย (25 กรกฎาคม ) ทวิตเตอร์ (24 กรกฎาคม ) ไฮไฟฟ์ (23กรกฎาคม)และเฟซบุ๊ก (22 กรกฎาคม )  
             
ตัวอย่าง การอธิบายศัพท์ดังกล่าว ระบุว่า ทวิตเตอร์ เป็นเว็บไซต์ของบริษัทอเมริกันที่ชื่อว่า Twitter.  ทวิตเตอร์ เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการสื่อสังคมเว็บไซต์หนึ่ง  เริ่มให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตในเดือนมีนาคม พ.ศ.2549 บุคคลทั่วไปสามารถอ่านข้อความที่เขียนไว้ในทวิตเตอร์ได้ แต่ถ้าจะเขียนหรือส่งข้อความใด ๆ ต้องสมัครเป็นสมาชิก โดยกรอกชื่อผู้ใช้ อีเมล และรหัสผ่าน  ผู้ส่งข้อความสามารถจำกัดให้ผู้อ่านอยู่ในกลุ่มของตนได้  ข้อความที่ส่งในทวิตเตอร์เป็นข้อความสั้น ๆ ที่มีความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักขระ  ข้อความดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในหน้าประวัติของผู้ลงทะเบียนใช้บริการเว็บไซต์ทวิตเตอร์  สมาชิกทวิตเตอร์สามารถลงทะเบียนเป็นผู้ตามอ่านข้อความของผู้อื่นได้ ผู้ตามอ่านและแสดงความเห็นตอบข้อความของผู้อื่นเรียกว่า "follower" หรือ "ผู้ติดตาม" ส่วนคำ   เฟซบุ๊ก ระบุว่า หมายถึงเว็บไซต์ของบริษัทอเมริกันที่ชื่อว่า Facebook เฟซบุ๊กเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการสื่อสังคมเว็บไซต์หนึ่ง โดยเริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2547 เมื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ๓ คน เปิดบริการผ่านคอมพิวเตอร์ให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยของตนได้ติดต่อกัน ต่อมาสมาชิกก็ขยายวงออกไปเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่น นักเรียนชั้นมัธยม และในที่สุดก็เป็นประชาชนทั่วไป การเข้าเป็นสมาชิกเฟซบุ๊กไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ผู้สมัครใหม่เพียงแต่สมัครเป็นสมาชิกตามเงื่อนไขที่กำหนด เว็บไซต์นี้มีบริการต่าง ๆ เช่น มีบริการเผยแพร่และรับข้อมูลส่วนบุคคลและข่าวสารต่าง ๆ และสามารถโต้ตอบกับสมาชิกรายอื่นได้

            เลขานุการคณะกรรมการจัดทำคำอธิบายถ้อยคำภาษาไทยของราชบัณฑิตยสถานชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า บทวิทยุดังกล่าวผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว แต่ยังไม่ตีพิมพ์ในหนังสือพจนานุกรมศัพท์คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งนี้ศัพท์ที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น เฟซบุ๊ก กูเกิล ทวิตเตอร์ ไม่ได้กำหนดศัพท์บัญญัติแต่ใช้การทับศัพท์ แต่จะอธิบายว่ามีความหมายตลอดจนความเป็นมาอย่างไร โดยผู้สนใจสามารถสอบค้นบทวิทยุที่ออกอากาศแล้วได้ตามที่อยู่เว็บข้างต้น

            อนึ่งรายการรู้รักภาษาไทยเป็นรายการวิทยุที่ราชบัณฑิตยสถานร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์จัดทำขึ้น โดยเริ่มออกอากาศมาตั้งแต่ปี 2550 มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอความรู้ทางภาษาไทยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา ที่มาของคำและสำนวน รวมทั้งคำที่เกิดขึ้นใหม่ในภาษาไทย

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เตือนชาวนครศรีธรรมราช แค่หกเดือนปีนี้ ฝนตกเกินค่าเฉลี่ย 30 ไปเยอะแล้ว

เผยปริมาณฝน จ.นครศรีธรรมราชช่วงครึ่งปีตกแล้ว 2,600 มม.สูงเกินค่าเฉลี่ย 30 ปีที่มีปีละ 2,300 มม.หวั่นมรสุม 3 เดือนสุดท้ายของปีจะถล่มหนัก ศูนย์เตือนภัยกระตุ้นผู้ว่าฯ อบต.รับมือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลปริมาณน้ำฝนจากเว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา (www.tmd.go.th) พบว่าหกเดือนแรกของปี 2554 จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นพื้นที่มีฝนตกมากที่สุดในประเทศ ถึง 2,612.9 มิลลิเมตร(มม.) เทียบกับค่าเฉลี่ยปริมาณฝนมารอบ 30 ปีของจังหวัดนี้ มีอยู่ 2,381.3 มม. ขณะที่ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั่วประเทศราวปีละ 1,500 มม.เท่านั้น

ค่าเฉลี่ยปริมาณฝนจำแนกรายเดือน ในคาบ 30 ปี  พบว่าช่วง 3 เดือนสุดท้าย จังหวัดนครศรีธรรมราชจะมีฝนมาก เฉพาะเดือนพฤศจิกายน มีปริมาณถึง 643 มม.

นายวันชัย ศักดิ์อุดมชัย ผอ.ศูนย์เตือนภัยอุตุนิยมวิทยาร่วมภาครัฐและเอกชน กล่าวว่า สาเหตุที่ปริมาณฝนปีนี้ สูงมากเพราะเดือนเมษายนมีฝนเกือบ 1,000 มม. ซึ่งผิดปกติเมื่อเทียบกับทุกปี อาจสืบเนื่องจากปรากฏการณ์ลานินญ่าที่สิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม โดยหลังช่วงน้ำท่วมจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดถึงสภาพปัญหาที่น่าเป็นห่วงต่อปริมาณฝนมากตอนปลายปีไปแล้ว และสัปดาห์หน้า จะจัดสัมมนาผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)และผู้รับผิดชอบงานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ทราบสถานการณ์ โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนตุลาคมเป็นต้นไปที่อาจเกิดพายุหมุนเขตร้อน เช่นดีเปรสชั่นได้ในพื้นที่ ทั้งนี้เพราะจังหวัดนครศรีธรรมราชมีพื้นที่กว้าง แวดล้อมด้วยภูเขา เมื่อเกิดฝนตกหนัก ผืนดินที่เปลี่ยนสภาพจากป่าธรรมชาติเป็นพื้นที่เกษตรกรรมจะไม่สามารถดูดซับน้ำไว้ได้

            นายวันชัยกล่าวเตือนประชาชนพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ตังแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ถึงจังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะชาวประมงให้ระวัง สภาพอากาศ 3 เดือนสุดท้ายของปี โดยติดตามข่าวจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด หากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นอันตรายจะประกาศทันที