ข่าวสาร วิทยาศาสตร์ วิจัย นวัตกรรม

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2563

WHO ถอดรหัส COVID-19


WHO ถอดรหัส COVID-19
รายงานฉบับแรกจากอู่ฮั่น

          ข่าวการระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดชื่อ โควิด-19 (COVID-19) เป็นที่รับรู้ของชาวโลก จากการพบผู้ป่วยที่ทวีจำนวนขึ้นอย่างน่าตกใจ ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน เมื่อต้นดือน มค.63 และลามอีกหลายประเทศ จากไทย ไปเกาหลี ญี่ปุ่น อิหร่าน ยันอิตาลี ในช่วงเวลาเพียง 8 สัปดาห์
แม้ทางการจีนมีท่าทีจะดีขึ้น เมื่อถึงสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม แต่ปรากฏว่าศูนย์กลางการระบาดกลับย้ายไปอยู่ประเทศอื่น ต่างทวีปเสียแล้ว
                    สถานการณ์ที่เกิดก่อความสับสนวุ่นวายไปทั่ว ใช่เฉพาะแต่ดินแดนแรกของการระบาด ประเทศอื่นต่างก็เฝ้าระวังเคร่งครัด องค์การอนามัยโลก(World Health Organization) ซึ่งมีหน้าที่ประสานความร่วมมือกับนานาประเทศ เพื่อส่งเสริมสุขอนามัยของทุกคน ได้จัดส่งทีมงาน ประกอบด้วยตัวแทนแพทย์จาก 8 ประเทศ รวมทั้งประเทศจีน จำนวน 25 คน เดินทางเข้าไปยังเมืองอู่ฮั่น ต้นทางการระบาดและแหล่งอื่นๆ เพื่อติดตามสอบสวนสาเหตุของโรค
          ดร.แดเนียล เคอร์เตสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย
กล่าวระหว่างการเสวนาที่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กรุงเทพ ผ่านระบบออนไลน์


เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อวันที่ 5 มีค.63 ว่า คณะแพทย์ตัวแทนองค์การอนามัยโลกทั้งหมดร่วมการติดตาม สอบสวน อาการผู้ป่วยทั้งประเภทรุนแรง ธรรมดา และที่เสียชีวิต ศึกษาระบบการป้องกันการติดเชื้อว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด โดยผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกจะช่วยเสนอแนะเพิ่มเติมด้วย
          ศ.นพ.สิริฤกษ์ ศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ทำหน้าที่ ผอ.สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) 


กล่าวสรุปรายงานจากที่มีกว่า40หน้าว่า รายงานนี้ เป็นรายงานชิ้นแรกจากพื้นที่ เพิ่งทำเสร็จเมื่อ 28 กพ.63 โดยเป็นการลงตรวจสอบ พบผู้ปฏิบัติงานจริงใน 4 มณฑล ได้แก่ ปักกิ่ง เสินเจิน กวางโจ และอู่ฮั่น มีข้อมูลว่าที่ประเทศจีน มีโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก 9 แห่ง ที่ดูแลเฉพาะผู้ป่วยโควิด-19 มี36แห่ง การดูแลในช่วงแรก ปลายเดือน ม.ค.63 มีผู้ติดเชื้อมากจนน่าตกใจ มีอัตราการเพิ่มหลายพันคน แต่เมื่อปฏิบัติไปก็มองเห็นแสงสว่าง
          การศึกษาว่าไวรัสมาจากไหน นักวิทยาศาสตร์ ทำการแยกเชื้อได้ภายใน 1 สัปดาห์ การเลี้ยงเชื้อ พบว่าเป็นไวรัสโคโรน่าคล้ายที่พบในสัตว์ที่ใกล้เคียงกับพันธุกรรมของค้างคาวถึง 96% และจากการถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อจากผู้ป่วย 104 รายการ พบยังไม่มีการกลายพันธุ์ โดยยืนยันจากการตรวจพันธุกรรมคล้ายกันมากกว่า 99%
                    การชันสูตร เสียชีวิต พบว่า ผู้สูงอายุมีอัตราการตายสูงกว่ากลุ่ม อื่น โดยคนอายุ50 ปีขึ้นไป  มีลักษณะพยาธิสภาพปอดอักเสบ
รายงานดังกล่าว ระบุว่า ในจำนวนผู้ติดเชื้อ ราว 80% ไม่แสดงอาการ ที่มีอาการเล็กน้อย และหายไปเอง 14% กลุ่มที่ป่วยหนักมี 6% ซึ่งต้องเข้ารับการดูแลในหอผู้ป่วยหนัก (ไอซียู) ในจำนวนนี้จะเสียชีวิตราว 1ใน 3 หรือ 2 ใน 3  

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนผู้เสียชีวิตเมื่อเทียบกับผู้ป่วยทั้งหมด ราว 0.7%
          สำหรับผู้ติดเชื้อ จำแนกตามกลุ่ม พบว่า เด็กจะติดเชื้อต่ำที่สุด ในรายที่ติดเชื้ออาการก็ไม่รุนแรง ส่วนหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งกังวลกันว่าจะเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง กลับมีระดับความเสี่ยงในระดับพอๆกับคนทั่วไป



                    ในด้านความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วย พบว่าที่มณฑลกวางตุ้ง มีเจ้าหน้าที่ 1,800 ทีม ดูแลผู้ป่วยทีละคน รวม320,000 คน มีสัดส่วนการติดเชื้อ 1.5% ส่วนที่มณฑลเสฉวน มีสัดส่วนการติดเชื้อ 0.9%  การรับมือกับการระบาดครั้งนี้ จีนใช้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ถึง 400,000 คน ในจำนวนนี้ กลายเป็นผู้ติดเชื้อ 2,055 คน จาก 476 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ส่วนการที่มีข่าวแพทย์และบุคลากรป่วยถึงเสียชีวิต เพราะในช่วงต้นยังขาดความพร้อมด้านอุปกรณ์
                    กับข้อสงสัยที่ว่า ไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเวลานาน แต่ไม่เป็นที่รับรู้หรือไม่ ศ.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า การศึกษารายละเอียดของการอาการป่วยเทียบเคียงกับรายอื่น ๆพบว่า ผู้ป่วยไวรัส โควิด-19เข้ารับการรักษาและยืนยัน เมื่อวันที่ 30-31ธค.62 เมื่อนำข้อมูลการตรวจเชื้อย้อนหลัง พบรายแรกวันที่ 8 ธค.62 ส่วนในทางคลินิกพบรายแรกวันที่ 2 ธค.62 จึงเป็นไปได้ว่า การพบเชื้อและการระบาดเกิดขึ้นในช่วงนี้
          ส่วนอาการของผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสโควิด-19 เกือบทุกรายมีไข้ อีกราว 2 ใน 3 มีอาการไอแห้งๆ
          การถอดรหัสข้อมูลการระบาดของไวรัสโควิด-19 ถึงแหล่งต้นตอที่ประเทศจีน ของตัวแทนองค์การอนามัยโลก ทำให้เกิดองค์ความรู้ถึงสาเหตุและการจัดการอย่างรอบด้าน จึงมีคำแนะนำ ที่ทุกคนมีส่วนร่วมระวัง ป้องกันได้ ได้แก่
          1.ตระหนักแต่ไม่ตระหนก
          2.ดูแลสุขภาพอนามัยตนเอง ด้วยการกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยหากมีความเสี่ยง
          3.เฝ่าระวังสังเกตุอาการตนเอง มีไข้ให้พบแพทย์ หรือรายงานแพทย์เมื่อเดินทางออกจากพื้นที่เสี่ยง
          4.สนับสนุนและทำตามมาตรการที่อาจนำมาใช้เมื่อเกิดการระบาด

          เพียงเท่านี้ ก็น่าจะเอาอยู่ สู้ไหว นะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น